เควิน เดอ บรอยน์ กองกลางคนสำคัญของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เปิดเผยถึงความภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของทีม หลังพวกเขาผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ได้เป็นครั้งที่ 13 ซึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นว่าทีมไม่เคยยอมแพ้ต่ออุปสรรคใดๆ เพลย์เมกเกอร์วัย 32 ปี เพิ่งกลับมาลงสนามได้อีกครั้ง หลังพักรักษาอาการบาดเจ็บมาตั้งแต่ช่วงก่อนฤดูกาล ก่อนจะระเบิดฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม โดยล่าสุดเขาลงเล่นครบ 90 นาที ในเกมที่ “เรือใบสีฟ้า” บุกชนะ เชลซี 1-0 พร้อมตีตั๋วสู่นัดชิงดำสโมสรสมัยที่ 13 ในประวัติศาสตร์ ซึ่งถือเป็นการตอบสนองได้อย่างยอดเยี่ยม หลังจากที่พวกเขาเพิ่งพลาดท่าตกรอบ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบก่อนรองชนะเลิศ ไปเมื่อกลางสัปดาห์ก่อน
“ผมคิดว่าทีมโชว์ฟอร์มได้อย่างสุดยอดตลอดปีที่ผ่านมา พวกเรารักษามาตรฐานเอาไว้ได้สูงมาก ต่อเนื่องจากความสำเร็จมหาศาลเมื่อซีซั่นก่อน เรายังคงลุยอยู่ใน 3 รายการใหญ่ จนกระทั่งเมื่อกลางสัปดาห์ที่แล้ว และตอนนี้เหลือให้ลุ้นอีก 2 ถ้วย ซึ่งถ้ามองภาพรวมทั้งปีก็ถือว่าเราเล่นกันได้อย่างน่าทึ่ง”
“ผมรู้สึกภูมิใจและเป็นเกียรติมากที่ได้อยู่ในทีมที่แสดงให้เห็นถึงคาแรคเตอร์อันยอดเยี่ยมเช่นนี้ สำหรับผมซีซั่นนี้ถือเป็นช่วงเวลาที่แตกต่างออกไปจากเดิม ผมต้องกลับมาเรียกความฟิตหลังจากบาดเจ็บหนักยาวนาน ผู้คนย่อมคาดหวังจะเห็นผมกลับมาเล่นได้ดีเหมือนก่อนเจ็บ ซึ่งมันต้องใช้เวลา แต่ผมก็สัญญาว่าจะทำให้ดีที่สุดเพื่อไปให้ถึงจุดนั้น แน่นอนว่าตอนนี้มีความสุขมาก” เดอ บรอยน์ กล่าว
ตลอดการค้าแข้งกับ แมนฯ ซิตี้ KDB ลงเล่นไปแล้วทั้งสิ้น 375 นัด ทำได้ 101 ประตู กับ 166 แอสซิสต์ ในทุกรายการ คำพูดของ เดอ บรอยน์ สะท้อนถึงสปิริตความเป็นนักสู้ของ แมนฯ ซิตี้ ที่แม้จะผิดหวังจากการตกรอบ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แต่พวกเขาก็ไม่ยอมแพ้ และกลับมาสู้ใหม่จนผ่านเข้าชิงอีก 1 ถ้วยสำคัญ นั่นคือเอฟเอ คัพ ได้ทันที ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งทางจิตใจ ที่จะไม่ยอมก้มหน้าให้แก่ความพ่ายแพ้โดยง่าย
นอกจากนี้ ยังเห็นได้ถึงความมุ่งมั่นของ เดอ บรอยน์ เอง ที่แม้เพิ่งกลับมาจากอาการบาดเจ็บ แต่ก็พยายามเรียกฟอร์มเก่งกลับมาให้ได้โดยเร็ว เพื่อช่วยให้ทีมประสบความสำเร็จ ถือเป็นความเป็นมืออาชีพชั้นสูง ที่น่าจะเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่นักเตะรุ่นหลังๆ ได้เป็นอย่างดี ส่วนเป้าหมายของ แมนฯ ซิตี้ ในช่วงที่เหลือของฤดูกาลนี้ ก็คงต้องลุ้นคว้าแชมป์ทั้งพรีเมียร์ลีกและเอฟเอ คัพ ให้ได้ เพื่อทดแทนความผิดหวังจากถ้วยยุโรปที่หลุดมือไป หาก เดอ บรอยน์ ยังรักษาฟอร์มเก่งได้อย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าเป้าหมายเหล่านั้นก็ไม่ไกลเกินเอื้อม
เควิน เดอ บรอยน์ กองกลางคนสำคัญของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้แสดงความภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของทีม โดยเฉพาะหลังจากที่พวกเขาสามารถผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศของเอฟเอ คัพ ได้เป็นครั้งที่ 13 ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความแข็งแกร่งของทีมที่ไม่เคยยอมแพ้ต่ออุปสรรคใดๆ
เดอ บรอยน์ วัย 32 ปี เพิ่งกลับมาลงสนามได้อีกครั้ง หลังจากที่ต้องพักรักษาอาการบาดเจ็บมายาวนาน ตั้งแต่ช่วงก่อนเริ่มฤดูกาล โดยในเกมล่าสุดที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ บุกเอาชนะเชลซี 1-0 เขาได้ลงเล่นครบ 90 นาที ทำให้ทีม “เรือใบสีฟ้า” ได้ตั๋วเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศของเอฟเอ คัพ เป็นสมัยที่ 13 ในประวัติศาสตร์ นอกจากนี้ยังเป็นการตอบสนองที่ยอดเยี่ยม หลังจากที่ทีมเพิ่งพลาดท่าตกรอบในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบก่อนรองชนะเลิศไปเมื่อกลางสัปดาห์ก่อน
เดอ บรอยน์ได้กล่าวถึงความสำเร็จของทีมในปีนี้ว่า “ผมคิดว่าทีมโชว์ฟอร์มได้อย่างสุดยอดตลอดปีที่ผ่านมา พวกเรารักษามาตรฐานเอาไว้ได้สูงมาก” เขายังกล่าวเสริมว่า “ต่อเนื่องจากความสำเร็จมหาศาลเมื่อซีซั่นก่อน เรายังคงลุยอยู่ใน 3 รายการใหญ่ จนกระทั่งเมื่อกลางสัปดาห์ที่แล้ว และตอนนี้เหลือให้ลุ้นอีก 2 ถ้วย ซึ่งถ้ามองภาพรวมทั้งปีก็ถือว่าเราเล่นกันได้อย่างน่าทึ่ง”
สำหรับเดอ บรอยน์เอง เขาได้แชร์ความรู้สึกที่มีต่อการกลับมาลงสนามหลังจากการบาดเจ็บ โดยระบุว่า “ผมรู้สึกภูมิใจและเป็นเกียรติมากที่ได้อยู่ในทีมที่แสดงให้เห็นถึงคาแรคเตอร์อันยอดเยี่ยมเช่นนี้ สำหรับผมซีซั่นนี้ถือเป็นช่วงเวลาที่แตกต่างออกไปจากเดิม ผมต้องกลับมาเรียกความฟิตหลังจากบาดเจ็บหนักยาวนาน” นอกจากนี้เขายังให้คำมั่นว่า “ผมสัญญาว่าจะทำให้ดีที่สุดเพื่อไปให้ถึงจุดนั้น” และย้ำว่าเขารู้สึกมีความสุขมากกับการกลับมาของเขาในครั้งนี้
ตลอดการค้าแข้งกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เดอ บรอยน์ได้ลงเล่นไปแล้วทั้งสิ้น 375 นัด ทำได้ 101 ประตู และ 166 แอสซิสต์ ในทุกรายการ คำพูดของเขาสะท้อนถึงสปิริตความเป็นนักสู้ของแมนฯ ซิตี้ ที่แม้จะผิดหวังจากการตกรอบยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แต่พวกเขาก็ไม่ยอมแพ้และกลับมาสู้ใหม่จนสามารถผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศของเอฟเอ คัพ ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งทางจิตใจที่ไม่ยอมก้มหัวให้แก่ความพ่ายแพ้โดยง่าย
ความมุ่งมั่นของเดอ บรอยน์ยังเห็นได้ชัดเจน แม้เขาจะเพิ่งกลับมาจากอาการบาดเจ็บ แต่ก็พยายามเรียกฟอร์มเก่งกลับมาให้ได้โดยเร็ว เพื่อช่วยให้ทีมประสบความสำเร็จ นับเป็นความเป็นมืออาชีพชั้นสูงที่ควรเป็นแบบอย่างให้กับนักเตะรุ่นหลัง นอกจากนี้ เป้าหมายของแมนฯ ซิตี้ ในช่วงที่เหลือของฤดูกาลนี้คือการคว้าแชมป์ทั้งพรีเมียร์ลีกและเอฟเอ คัพ เพื่อทดแทนความผิดหวังจากการตกรอบถ้วยยุโรป หากเดอ บรอยน์ยังรักษาฟอร์มเก่งได้อย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าเป้าหมายเหล่านั้นก็ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอน